Sculptra vs Ulthera ต่างกันยังไง ? เลือกอันไหนดีกว่ากัน

Sculptra vs Ulthera

Sculptra และ Ulthera เป็นหัตถการยอดนิยมสำหรับการยกกระชับ ฟื้นฟูผิวหน้าและกระตุ้นคอลลาเจนโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ทั้งสองมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่าแบบไหนเหมาะสมกับตัวเองมากกว่ากัน บทความนี้จะช่วยอธิบายความแตกต่างระหว่าง Sculptra vs Ulthera เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคุณ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Sculptra vs Ulthera

Sculptra คือ

Sculptra เป็นยี่ห้อของสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนประเภทนึง ที่ถูกทำออกมาในรูปของยาฉีด โดย Sculptra ผลิตมาจากโพลีแอลแลคติค เอซิด (Poly-L-Lactic Acid: PLLA) มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง เพื่อเป็นการทดแทนคอลลาเจนที่มีการสูญเสียไปเมื่อคนเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยการฉีดสารชนิดนี้จะช่วยให้ผิวหนังเกิดความกระชับ เรียบเนียน เต่งตึง อิ่มฟู และมีความยืดหยุ่น รวมไปถึงการช่วยฟื้นฟูผิวหนังให้เกิดความแข็งแรง และทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย

Ulthera (อัลเทอร่า) คือ

Ulthera เป็นการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ที่แพทย์จะใช้คลื่นความถี่สูง ยิงลงที่ผิวหนังชั้น SMAS ซึ่งจะเป็นชั้นของกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ คลื่นความถี่สูงที่ยิงลงไปที่ผิวหนังจะทำให้เกิดความร้อน ความร้อนจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ผิวหนังที่หน้าเกิดความแต่งตึง โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 3-6 เดือน และคงอยู่นาน 1-2 ปี

Sculptra ช่วยเรื่องอะไร ?

Sculptra จะเป็นการรักษาโดยจะทำการฉีดสารคอลลาเจนประเภทนึงเข้าสู่ใต้ผิวหนัง สารจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่ง Sculptra จะช่วยให้ผิวหนังเกิดความแข็งแรง มีความเรียบเนียน มีความเปล่งปลั่ง ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนกว่าวัยอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังช่วยให้การปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น และช่วยให้ผิวหนังที่เกิดการหย่อนคล้อยกลับมาเต่งตึง และมีความกระชับมากขึ้น รวมถึงจะช่วยเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา และร่องอื่น ๆ ที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนตามวัย เป็นต้น

Ulthera ช่วยเรื่องอะไร ?

Ulthera เป็นการรักษาโดยจะใช้คลื่นความถี่สูง ยิงลงที่ผิวหนังชั้น SMAS ซึ่งจะเป็นชั้นของกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ คลื่นความถี่สูงที่ยิงลงไปที่ผิวหนังจะทำให้เกิดความร้อน ความร้อนจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ซึ่ง Ulthera จะช่วยให้ผิวหนังตรงบริเวณแก้ม คาง คอ และขมับ ที่เกิดการหย่อนคล้อยกลับมากระชับ นอกจากนี้ยังช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ เช่น รอยร่องแก้ม หรือรอยตีนกา และช่วยในการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาแก้มห้อย หรือคางสองชั้น สุดท้ายยังช่วยให้ผิวหนังมีความแข็งแรง มีความอ่อนกว่าวัย เป็นต้น

Sculptra vs Ulthera ต่างกันยังไง ?

คุณสมบัติSculptraUlthera
หลังการทำงานฉีดสารโพลีแอลแลคติค เอซิด (Poly-L-Lactic Acid: PLLA) เข้าสู่ใต้ผิวหนังใช้คลื่นความถี่สูง ยิงลงที่ผิวหนังชั้น SMAS ซึ่งจะเป็นชั้นของกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้
ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้ผิวหนังดูอิ่มฟู มีความเต่งตึง และทำให้ผิวหนังเกิดความเรียบเนียนจะช่วยยกกระชับผิวหนัง ให้มีความเต่งตึง และกระชับ
ระยะเวลาการเห็นผล2-4 สัปดาห์ หลังจากการฉีด3-6 เดือน หลังเข้ารับบริการ
ระยะเวลาการคงอยู่ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานถึง 2 ปีผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 1 – 2 ปี
บริเวณที่ทำการฉีดส่วนใหญ่จะฉีดตั้งแต่บริเวณขมับ แก้มตอบ หน้าแก้ม และบริเวณกรอบหน้าส่วนใหญ่จะทำตรงบริเวณ หน้าผาก รอบดวงตา แก้ม คาง และลำคอ
เหมาะกับใครเหมาะกับบุคคลที่เกิดปัญหาเรื่องริ้วรอย รอยร่องลึก และบุคคลที่ต้องการปรับรูปหน้า รวมถึงบุคคลที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานเหมาะกับบุคคลที่ต้องการยกกระชับผิวหนังที่เกิดการหย่อนคล้อย และบุคคลที่ต้องฟื้นฟูผิวหนัง

Sculptra และ Ulthera เหมาะกับใคร ?

Sculptra เป็นเทคนิคเสริมความงามที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เพื่อทำให้ผิวหน้าเกิดความกระชับ และช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น โดย Sculptra เหมาะกับบุคคลที่มีลักษณะเหล่านี้

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังที่มีความหย่อนคล้อย ไม่เรียบเนียน และไม่กระชับ
  • ผู้ที่ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น โดย Sculptra จะช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูอิ่มฟู และมีความเปล่งปลั่ง
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับริ้วรอยร่องลึก โดยจะช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงออกทางสีหน้าเป็นประจำ
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ โดย Sculptra จะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ทำให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ
  • ผู้ที่ต้องการแก้ไขผิวหน้าโดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที

ส่วน Ulthera เป็นการยกกระชับผิวหนัง และกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง โดยจะใช้คลื่นความถี่สูงยิงลงที่ผิวหนังชั้น SMAS ซึ่งจะเป็นชั้นของกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวหนังมีความเต่งตึง เกิดความกระชับ และทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ซึ่งการทำ Ulthera เหมาะกับบุคคลที่มีลักษณะเหล่านี้

  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังหย่อนคล้อย เช่นแก้มหย่อน คางสองชั้น และหนังตาตก
  • ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว เช่น ยกหางตา หรือยกคิ้ว เป็นต้น
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า โดย Ulthera จะทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น และทำให้กรอบหน้าดูชัดเจนขึ้น
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับริ้วรอยตรงบริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และริ้วรอยรอบดวงตา เป็นต้น
  • ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้นเป็นเวลานาน

Sculptra และ Ulthera เหมาะกับใคร ?

การเลือกวิธีการที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปัญหาที่ต้องการแก้ไข หรือผลลัพธ์ที่ได้ เป็นต้น ซึ่งหากบุคคลที่มีปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวหนังหย่อนคล้อย และปัญหารอยร่องแก้มลึก การฉีด Sculptra จะทำให้ผิวหนังดูอิ่มฟู มีความเรียบเนียน และช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวรอยร่องลึกให้มีความตื้นขึ้น ส่วนบุคคลที่มีปัญหาแก้มหย่อน คางสองชั้น และหนังตาตก การทำ Ulthera จะให้ผิวหนังเกิดการยกกระชับ ช่วยแก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย และริ้วรอย ดังนั้นไม่ว่าจะ ฉีด Sculptra หรือ ทำ Ulthera ก็เป็นวิธีการที่ดีทั้งคู่ แต่ควรเลือกให้เหมาะสมกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงจุด

Sculptra และ Ulthera ทำร่วมกันได้ไหม?

Sculptra และ Ulthera สามารถทำร่วมกันได้ เนื่องจากทั้งสองเทคโนโลยีนี้มีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน โดยทั่วไป แพทย์อาจจะแนะนำให้ทำแค่ Sculptra อย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าสำหรับผู้ที่ต้องการทำทั้งสองวิธีจริง ๆ แพทย์ก็จะให้ทำ Ulthera ก่อน แล้วจึงตามด้วย Sculptra เนื่องจาก Ulthera จะช่วยยกกระชับผิวชั้นในก่อน จากนั้น Sculptra จะเข้าไปเติมเต็มและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและดูอ่อนเยาว์