โบท็อกซ์ลดริ้วรอยเป็นวิธีการยอดนิยมในการแก้ปัญหาดังกล่าวและเสริมความงามที่เห็นผลเร็วแถมมีประสิทธิภาพ โดยการฉีดโบท็อกซ์สามารถทำได้ในบริเวณต่างๆ บนใบหน้า เช่น หน้าผาก ร่องคิ้ว และรอบดวงตา จำนวนยูนิตที่ใช้และระยะเวลาในการเห็นผลจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดและความลึกของริ้วรอย ปกติแล้วจะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วันหลังการฉีด
โบท็อกซ์ลดริ้วรอย
- โบท็อกซ์ คืออะไร ?
- โบท็อกซ์ลดริ้วรอย ทำงานยังไง ?
- โบท็อกลดริ้วรอย เหมาะกับใคร ?
- ฉีดโบลดริ้วรอย จุดไหนได้บ้าง
- ข้อดี – ข้อเสีย ฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย
- ข้อควรระวัง ก่อน-หลัง ฉีดโบลดริ้วรอย
- คำถามที่พบบ่อย
โบท็อกซ์ คืออะไร ?
โบท็อกซ์ (Botox) คือ สารโบทูลินั่มท็อกซิน ไทป์ เอ (Botulinum Toxin Type A) ซึ่งเป็นสารพิษที่ผลิตมาจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Clostridium botulinum โดยโบท็อกซ์มีความปลอดภัยเนื่องจากได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับใช้ในการแพทย์ และได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้ด้านความงาม
โบท็อกซ์เป็นการรักษาที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการฉีดสารเข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อ ซึ่งสารนี้จะเข้าไปยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณใบหน้าเกิดความกระชับ และยังช่วยลดริ้วรอยบนผิวหนัง โดยเฉพาะรอยย่นตรงหน้าผากและรอบดวงตา นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น รวมถึงลดเหงื่อ แก้ปัญหา เป็นต้น
โบท็อกซ์ลดริ้วรอย ทำงานยังไง ?
อย่างที่รู้กัน โบท็อกซ์ (Botox) เป็นสารโบทูลินั่มท็อกซิน ไทป์ เอ (Botulinum Toxin Type A) ซึ่งสารตัวนี้จะมีการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอ่อนแรงเป็นเวลา 2-3 วัน หลังจากนั้น 1-2 สัปดาห์ ยาจะมีการออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ริ้วรอยบริเวณที่ฉีดจางลง และเริ่มคลายตัวใน 6-8 เดือน กล้ามเนื้อจะเกิดการทำงานที่น้อยลง ทำให้เมื่อมีการขยับใบหน้าหรือการแสดงออกทางสีหน้า ก็จะไม่เกิดรอยพับตรงผิวหนัง เป็นต้น
โบท็อกลดริ้วรอย เหมาะกับใคร ?
อย่างที่ทราบกันโบท็อกซ์จะเป็นการฉีดสารเข้าตรงบริเวณกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อมีการทำงานที่น้อยลง และช่วยลดการขยับของกล้ามเนื้อ ทำให้ช่วยลดริ้วรอย และช่วยให้ผิวหนังเกิดความกระชับ ดังนั้นบุคคลที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย มักจะเป็นบุคคลเหล่านี้
- บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่มีริ้วรอยเริ่มปรากฏ เนื่องจากการป้องกันริ้วรอยก่อนเกิดจะง่ายกว่าการรักษาในภายหลัง
- บุคคลที่ต้องการลดริ้วรอยและลดการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น รอยตีนกา ริ้วรอยหน้าผาก รอยร่องแก้ม และริ้วรอยที่หางตา เป็นต้น
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นและยกกระชับใบหน้า
- ผู้ที่ต้องการชะลอการเกิดริ้วรอยและรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวหน้า
- บุคคลที่มีอาชีพที่ต้องพบปะผู้คนและให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์
- บุคคลที่มีปัญหาเหงื่อออกมากเกินไป เช่น ใต้วงแขน บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า โดยโบท็อกซ์จะช่วยลดการหลั่งของเหงื่อได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ โบท็อกซ์ลดเหงื่อ แก้ปัญหาจักแร้เปียก
- บุคคลที่ต้องการเห็นผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจน โดยไม่ต้องผ่าตัด
ฉีดโบลดริ้วรอย จุดไหนได้บ้าง
ปัจจุบันการฉีดโบลดริ้วรอยกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยโบท็อกซ์จะช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าให้ดูจางลง และทำให้ผิวหนังมีความเรียบเนียน เต่งตึง เป็นต้น ซึ่งจุดที่สามารถฉีดโบลดริ้วรอยได้มี ดังนี้
- บริเวณหน้าผาก การฉีดโบท็อกซ์ตรงบริเวณหน้าผากจะสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับริ้วรอยหรือรอยพับตรงบริเวณหน้าผากได้ ซึ่งรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ เช่น การเลิกคิ้ว การหัวเราะ และการยิ้ม รวมถึงที่มีสาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น
- บริเวณระหว่างคิ้ว การฉีดโบท็อกซ์ตรงบริเวณระหว่างคิ้ว เป็นริ้วรอยที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายและมักเป็นจุดแรกที่คนมักจะมองเห็น โดยการฉีด Botox ตรงระหว่างคิ้วจะช่วยยับยั้งการหดตัวและทำให้ผิวหนังส่วนบนเรียบเนียน ซึ่งบริเวณระหว่างคิ้วมีเส้นประสาทจำนวนมาก การฉีด Botox ตำแหน่งนี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- บริเวณหางตา ริ้วรอยตรงบริเวณหางตาเกิดจากการหดเกร็งซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการแสดงออกทางสีหน้า เช่น การยิ้ม การหัวเราะ รวมถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังบางลงและมีความยืดหยุ่นน้อยลง จึงทำให้เกิดริ้วรอยตีนกา หรือริ้วรอยตรงบริเวณหางตา
- บริเวณใต้ตา เป็นริ้วรอยที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยใต้ตาจะทำให้กล้ามเนื้อตรงบริเวณที่ฉีดเกิดการคลายตัวชั่วคราวและทำให้ริ้วรอยจางลง แต่หากฉีดมากเกินไปจะทำให้ตาดูแข็งได้
- บริเวณร่องแก้ม เป็นรอยย่นที่มีสาเหตุมาจากการหย่อนคล้อยของผิวหนัง การฉีด Botox จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและช่วยลดริ้วรอยให้จางลง แต่โบท็อกซ์ร่องแก้มจะใช้ได้แค่ริ้วรอยที่ตื้นเท่านั้น
ข้อดี – ข้อเสีย ฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย | ข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย |
---|---|
– โบท็อกซ์จะช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าให้จางลง โดยเฉพาะริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ เนื่องจากโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ – โบท็อกซ์มีความปลอดภัย เนื่องจากได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับใช้ในการแพทย์และได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้ด้านความงาม รวมถึงได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) – โบท็อกซ์จะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว หลังจากการฉีด 1 สัปดาห์จะเริ่มเห็นผล และผลลัพธ์จะอยู่ได้นานถึง 6 เดือน – การฉีดโบท็อกซ์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ – โบท็อกซ์จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน – ช่วยแก้ไขปัญหาเหงื่อออกมากเกินไป เช่น ใต้วงแขน บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า โดยโบท็อกซ์จะช่วยลดการหลั่งของเหงื่อได้ | – การฉีดโบท็อกซ์จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร อาจต้องมีการฉีดซ้ำทุก 4 – 6 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์ – อาจมีผลข้างเคียงหลังการฉีด เช่น รอยแดง อาการบวมช้ำ ปวดศีรษะ และอาการคลื่นไส้ เป็นต้น – การฉีดโบท็อกซ์ หากฉีดในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงจนดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ |
ข้อควรระวัง ก่อน-หลัง ฉีดโบลดริ้วรอย
คำถามที่พบบ่อย
โบท็อกซ์ริ้วรอย ใช้กี่ยูนิต
ปริมาณที่ใช้ในการฉีดโบท็อกซ์แต่ละครั้งจะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับจุดที่ฉีด และปัญหาที่ต้องการแก้ไข ซึ่งทุกครั้งก่อนจะทำการฉีดต้องได้รับการประเมิณจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- บริเวณหน้าผาก ส่วนใหญ่จะใช้ประมาณ 15 – 20 ยูนิต
- บริเวณระหว่างคิ้ว ส่วนใหญ่จะใช้ประมาณ 6 – 12 ยูนิต
- บริเวณหางตา ส่วนใหญ่จะใช้ประมาณ 15 – 20 ยูนิต
- บริเวณสันจมูก ส่วนใหญ่จะใช้ประมาณ 4 – 6 ยูนิต
- บริเวณร่องแก้ม ส่วนใหญ่จะใช้ประมาณ ข้างละ 20 – 30 ยูนิต
- บริเวณรอบดวงตา ส่วนใหญ่จะใช้ประมาณ 8 – 15 ยูนิต
โบท็อกซ์ริ้วรอย กี่วันเห็นผล ?
หลังจากทำการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอย 2 – 3 วัน ตัวยาจะมีการออกฤทธิ์ หลังจากนั้น 1 – 2 สัปดาห์ จะเริ่มมีอาการตึงตรงบริเวณที่ทำการฉีด และ 2 สัปดาห์หลังจากนั้น ถึงจะเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจน
โบท็อกซ์ริ้วรอย อยู่ได้กี่เดือน ?
โบท็อกซ์ลดริ้วรอย โดยปกติทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 4 – 6 เดือน แต่ผลลัพธ์การคงอยู่จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณที่ใช้ในการฉีด ตำแหน่งในการฉีด อายุ สภาพผิว การดูแลรักษาหลังการฉีด ไม่ว่าจะเป็น ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อกซ์ มีอะไรบ้าง ห้ามกิน ห้ามทำอะไร เป็นต้น