การฉีดโบท็อก (Botox) เป็นการฉีดสารเข้าสู่กล้ามเนื้อ ดังนั้นเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และโบท็อกมีอายุที่นานขึ้น รวมไปถึงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตราย ผู้ทำการฉีดควรรู้จักวิธีการดูแลตนเอง ก่อน-หลัง ฉีดโบท็อก และข้อควรระวัง ซึ่งบทความฉบับนี้ได้มีการรวบรวมข้อมูลไว้อย่างละเอียด
การฉีดโบท็อก คืออะไร ?
การฉีดโบท็อก คือ วิธีการรักษา หรือการแก้ไขปัญหา โดยทางแทพย์ผู้เชี่ยวชาญ จะทำการฉีดสารที่มีชื่อว่า “โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A)” ซึ่งเป็นสารที่ถูกผลิตขึ้นมาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่จะฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อ เพื่อลดการหลั่งสารสื่อประสาท ที่ทำหน้าที่กระตุ้นกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ทำการฉีดมีการทำงานลดลง จนเกิดการหดตัว และเกิดความกระชับ โบท็อกจะช่วยในการปรับรูปหน้า และทำให้ผิวหนังที่หย่อนคล้อยมีความเต่งตึง สามารถอยู่ได้นาน 4-6 เดือน
การดูแลก่อนฉีดโบท็อกซ์
อย่างที่ทราบกันการฉีดโบท็อก (Botox) เป็นการฉีดสารชนิดหนึ่งเข้าสู่กล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ทำการฉีดมีการทำงานลดลง จนเกิดการหดตัว และเกิดความกระชับ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่ตามมา และเกิดความปลอดภัย ผู้ทำการฉีดควรปฏิบัติตัว ดังนี้
- ก่อนทำการฉีดโบท็อกผู้ทำการฉีดควรมีการเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการปรึกษา ประเมินอาการ และต้องมีการตรวจร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อม
- ผู้ทำการฉีดโบท็อกต้องมีการพักผ่อนให้เพียงพอ และต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนทำการฉีด
- ห้ามรับประทานอาหารเสริม หรือวิตามิน ที่มีคุณสมบัติให้เลือดหยุดไหลยาก อาทิเช่น น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส น้ำมันปลา วิตามินE สารสกัดที่มาจากโสม ขิง กระเทียม และใบแปะก๊วย เป็นเวลา 2 อาทิตย์
- ห้ามรับประทานยาแก้ปวด ยาแอสไพริน และยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS อาทิเช่น Naproxen Ibruprofen เป็นเวลา 2 อาทิตย์
- ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนทำการฉีด
- ผู้ที่จะทำการฉีดโบท็อกต้องไม่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- บุคคลที่ตั้งครรภ์ หรือต้องให้นมบุตร ห้ามฉีดโบท็อก
การดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์
หลังทำการฉีดโบท็อก (Botox) ผู้ทำการฉีดต้องมีการดูแลรักษาตัวเอง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่ตามมา โดยผู้ทำการฉีดต้องมีดูแลหลังฉีดโบท็อก ดังนี้
- ผู้ทำการฉีดต้องพยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ทำการฉีด ประมาณ 20 นาที เพื่อให้โบท็อกมีการกระจายตัวเข้าสู่กล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น เช่น ถ้าทำการฉีดรอบดวงตา ควรยิ้มทุก ๆ 20 นาที แรกหลังทำการฉีด
- 4 ชั่วโมง หลังทำการฉีดโบท็อก ผู้ทำการฉีดสามารถล้างหน้า และสามารถทาครีมได้
- 4 ชั่วโมงหลังจากทำการฉีดโบท็อก ควรงดการนอนเอนศีรษะ หรือนอนราบ เพื่อป้องกันการไหลของโบท็อกไปสู่บริเวณอื่น ที่อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการ
- หลังจากทำการฉีดโบท็อกให้ใช้น้ำแข็งประคบเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามด้วยประคบอุ่นต่ออีก 24 ชั่วโมง
- หลังจากทำการฉีดโบท็อกให้รับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี (Zinc) อาทิเช่น เนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเล แต่ควรจะรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้โบท็อกเกิดกระจายตัวได้ดียิ่งขึ้น
- ควรฉีดโบท็อกอย่างต่อเนื่อง แต่ควรอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ควรฉี่เกินไป
- ควรไปพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อติดตามอาการ และผลลัพธ์
อาการที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดโบท็อกซ์
อย่างที่ทราบกัน การฉีดโบท็อก (Botox) เป็นการฉีดสารชนิดหนึ่งเข้าสู่กล้ามเนื้อ เพื่อลดการหลั่งสารสื่อประสาท ที่ทำหน้าที่กระตุ้นกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ทำการฉีดมีการทำงานลดลง จนเกิดการหดตัว และเกิดความกระชับ ซึ่งหลังจากทำการฉีด อาจจะมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น อย่างการเกิดรอยเขียวช้ำ และอาการบวมแดงตรงบริเวณที่ทำการฉีด นอกจากนี้ยังรวมไปถึงอาการปวด หรืออาการตึง ตรงจุดที่ทำการฉีด ซึ่ง 2–3 วันก็จะหายเป็นปกติ แต่ถ้าเกิดมีการฉีดโบท็อกให้ปริมาณที่มากเกินความเหมาะสม อาจจะทำให้หน้ามีความแข็ง ไม่สามารถบังคับกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ รวมไปถึงถ้าขาดการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีการอาจเสี่ยงเกิดการติดเชื้อได้
วิธีดูแลตัวเองหากมีอาการบวมช้ำหลังฉีดโบท็อก
หากฉีกโบท็อกแล้วมีอาการบวมช้ำหลังฉีดโบท็อก โดยมักพบบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการนี้จะหายไปเองภายใน 2-3 วัน แต่ก็ยังสามารถดูแลตัวเองได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ เพื่อลดอาการหรือทำให้การบวมยุบตัวลงเร็วขึ้น
- ประคบเย็นบริเวณที่ฉีด เป็นเวลา 20-30 นาที บริเวณที่ฉีดวันละ 3-4 ครั้ง จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดอาการบวมช้ำ และบรรเทาอาการปวด
- หลีกเลี่ยงการขยับหรือกดบริเวณที่ฉีด เป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการบวมช้ำลุกลาม
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย และลดอาการบวมได้
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจทำให้เลือดไหลเวียนดี และอาจทำให้อาการบวมช้ำรุนแรงขึ้นได้
อย่างไรก็ตามถ้าอาการบวมช้ำไม่ดีขึ้นหรือรุนแรงขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์หรือสถานบริการที่เข้ารับการฉีดโบท็อก
วิธีดูแลตัวเองหากมีอาการตาพร่ามัวหลังฉีดโบท็อก
หากฉีดโบท็อกแล้วมีอาการตาพร่ามัว อาการนี้มักพบชั่วคราว และจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยสามารถดูแลตัวเองได้ดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย
- หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือ หรือดูหน้าจอนานๆ จนกว่าอาการตาพร่ามัวจะหายไป
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าอาการตาพร่ามัวไม่ดีขึ้น รุนแรงขึ้น หรือมีอาการตาพร่ามัวร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ข้อควรระวังหลังฉีดโบท็อกซ์
หลังจากทำการฉีดโบท็อก เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้โบท็อกมีอายุที่นานขึ้น ผู้ทำการฉีดควรรู้เกี่ยวกับข้อควรระวัง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- หลังจากทำการฉีดโบท็อก ควรงดการนวดหน้า ขัดหน้า และการเลเซอร์ใบหน้า เป็นเวลา 14 วัน
- หลังจากทำการฉีดโบท็อก ควรงดการกด หรือการคลึง ตรงบริเวณใบหน้า เป็นเวลา 14 วัน
- หลังจากทำการฉีดโบท็อก ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่รุนแรง หรือการออกกำลังที่มีแรงสะเทือนมาก อาทิเช่น การวิ่ง การยกน้ำหนัก และการกระโดด เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้โบท็อกมีการไหลไปบริเวณอื่น
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่โดนความร้อน อาทิเช่น การทำซาวน่า การแช่บ่อน้ำร้อน และการรับประทานอาหารที่อยู่หน้าเตา
- หลังจากทำการฉีดโบท็อก ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 3 – 5 วัน
- หลังจากทำการฉีดโบท็อก ห้ามรับประทานประเภทของหมักดอก ของแสลง อาหารที่มีรสจัด และอาหารที่ปรุกไม่สุก
- หลังจากทำการฉีดโบท็อก งดการสูบบุหรี่ เนื่องจากในบุหรี่มีสารนิโคติน ที่มีผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือด ที่อาจจะทำให้การกระจายตัวของโบท็อกไปได้ไม่ดี
ส่วนใครที่อยากรู้ว่ามี ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อก อะไรบ้าง สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ได้เลย
สุดท้ายนี้เชื่อว่าหลายๆ คน ที่กำลังมองหาวิธี การดูแล ก่อน-หลัง ฉีดโบท็อก เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง และเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทางหมอส้ม หมอเกรซ ทีมแพทย์จาก Mudan Pavilion ยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย