หลายคนที่สนใจ ฉีดฟิลเลอร์ มักมีคำถามว่า “ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน?” เพราะผลลัพธ์ของการฉีดในแต่ละจุด เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก หรือคาง อาจมีระยะเวลาคงอยู่ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการดูแลหลังฉีดด้วย โดยบทความนี้จะพาไปไขข้อสงสัยว่าแต่ละจุดอยู่ได้นานกี่เดือน หรืออาจคงความสวยได้เป็นปี พร้อมเคล็ดลับที่ช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่กับเราได้นานยิ่งขึ้น
สารบัญ
- ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน กี่เดือน กี่ปี
- ฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง
- ฟิลเลอร์แต่ละตำแหน่ง อยู่ได้นานกี่เดือน ?
- ฟิลเลอร์ฉีดได้บ่อยแค่ไหน
ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน กี่เดือน กี่ปี
อย่างที่ทราบกันดีว่าการฉีดฟิลเลอร์เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยฟิลเลอร์มีหลายยี่ห้อและหลายรุ่น ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็มีระยะเวลาคงอยู่ของผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมีการนำเข้าอย่างถูกต้อง จะมีผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานเฉลี่ยประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งระยะเวลาอาจเปลี่ยนแปลงไปตามยี่ห้อที่เลือกใช้ ดังนี้
- ฟิลเลอร์ Restylane เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดนที่ได้รับการยอมรับและมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยจุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต อย่างเทคโนโลยี NASHA technology และ OBT technology ซึ่งผลลัพธ์ของ Restylane จะอยู่ได้ประมาณ 6 – 18 เดือน
- ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นฟิลเลอร์สัญชาติอเมริกา โดยจุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต อย่างเทคโนโลยี Hylacross ที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทนต่อการขยับได้ดี และช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น และเทคโนโลยี Vycross ที่เน้นพัฒนาฟิลเลอร์ให้เป็นเนื้อเจล ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและมีความเรียบเนียน ซึ่งผลลัพธ์ของ Juvederm จะอยู่ได้ประมาณ 8 เดือน – 2 ปี
- ฟิลเลอร์ Belotero เป็นฟิลเลอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ โดยจุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตอย่าง Cohesive Polydensified Matrix (CPM) ซึ่งทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเกาะผิวได้ดี และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งผลลัพธ์ของ Belotero จะอยู่ได้ประมาณ 6 – 18 เดือน
ฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง
โดยปกติฟิลเลอร์จะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน – 1 ปี แต่บางครั้งการคงอยู่ของผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้
- ส่วนผสมฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อมีส่วนผสม กระบวนการการผลิต และความเข้มข้นที่แตกต่างกัน ทำให้ระยะเวลาในการสลายตัวของฟิลเลอร์ต่างกันออกไป ยิ่งฟิลเลอร์มีความเข้มข้นสูง ผลลัพธ์ก็จะคงอยู่ได้นานขึ้น
- ระบบการเผาผลาญของร่างกาย ภายในร่างกายของมนุษย์จะมีเอนไซน์ที่สามารถย่อยสลายฟิลเลอร์ได้ ซึ่งแต่ละบุคคลจะมีปริมาณเอนไซน์ที่ไม่เท่ากัน หากบุคคลนั้นมีเอนไซน์เป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้ฟิลเลอร์มีการสลายตัวได้เร็วมากกว่าบุคคลอื่น
- บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ บริเวณที่ทำการฉีดมีผลต่อการคงอยู่ของฟิลเลอร์ โดยเฉพาะตำแหน่งที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเป็นประจำ เช่น ปาก ร่องแก้ม หน้าผาก หรือบริเวณคิ้ว จะทำให้การสลายตัวของฟิลเลอร์ไวกว่าบริเวณอื่น
- เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ การฉีดฟิลเลอร์หากฉีดโดยผู้เชี่ยวชาญ และฉีดอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานยิ่งขึ้น
- การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสตรงบริเวณที่ฉีด หรือหลีกเลี่ยงการโดนความร้อน จะช่วยยืดอายุการอยู่ของฟิลเลอร์ได้
ฟิลเลอร์แต่ละตำแหน่ง อยู่ได้นานกี่เดือน ?
อย่างที่ทราบกัน ฟิลเลอร์มีมากมายหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นอาจมีเนื้อฟิลเลอร์และคุณสมบัติที่แตกต่างกัน จึงทำให้ฟิลเลอร์แต่ละรุ่น แต่ละตำแหน่งในการฉีด รวมถึงปริมาณที่นำมาฉีดในแต่ละจุดมีความต่างกันไป บางจุดอาจใช้แค่ 1 CC แต่บางจุดอาจมากกว่า 1 CC เพราะฉะนั้นการคงอยู่ของผลลัพธ์ของแต่ละจุดจึงมีความต่างกัน ดังนี้
ฟิลเลอร์หน้าผาก อยู่ได้นานกี่เดือน
ฟิลเลอร์หน้าผากเป็นการฉีดสาร HA ตรงบริเวณหน้าผาก ซึ่งฟิลเลอร์จะช่วยในการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน แก้ไขปัญหาหน้าผากแบนและหน้าผากบุ๋ม นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยร่องลึกและริ้วรอยบนหน้าผาก โดยฟิลเลอร์ที่นิยมใช้จะมีเนื้อที่ละเอียดและเรียบเนียน ฉีดแล้วไม่เป็นก้อน เช่น Juvederm รุ่น Volbella, Juvederm รุ่น Vital, Restylane รุ่น Vital และ Restylane รุ่น Classic ซึ่งผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 8 – 12 เดือน
ฟิลเลอร์ขมับ อยู่ได้นานกี่เดือน
ฟิลเลอร์ขมับเป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าตรงบริเวณขมับที่เกิดการยุบตัวของกระดูกหรือไขมันที่ฝ่อลง ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาขมับยุบ ขมับตอบ และยังช่วยปรับคิ้วหรือตายกขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม โดยฟิลเลอร์ที่นิยมฉีดคือ Juvederm รุ่น Ultra Plus และ Juvederm รุ่น Voluma ซึ่งผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 12 – 18 เดือน
ฟิลเลอร์ใต้ตา อยู่ได้นานกี่เดือน
ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าตรงบริเวณใต้ตา ซึ่งฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มผิวตรงใต้ตาที่เกิดการยุบตัว หรือโครงสร้างใบหน้าที่เบ้าตาเป็นหลุมลึก โดยจะช่วยให้เบ้าตาที่ลึกดูตื้นขึ้น ริ้วรอยใต้ตามีความจางลง ทำให้ผิวหนังมีความเรียบเนียนขึ้น ถุงใต้ตามีขนาดที่เล็กลง ช่วยให้ใต้ตาที่คล้ำมีความสว่างขึ้น ทำให้ใบหน้ากลับมาสดใสและดูอ่อนเยาว์
ฟิลเลอร์ใต้ตาที่นิยมฉีดสำหรับการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับใต้ตาลึก ได้แก่ Restylane รุ่น Defyne, Restylane รุ่น Vital Light, Juvederm รุ่น Volift และ Juvederm รุ่น Vital Light ซึ่งผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 6 – 18 เดือน
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม อยู่ได้นานกี่เดือน
ฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าตรงบริเวณร่องแก้มที่ลึกหรือยุบลงไป ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับร่องแก้มลึก แก้มตอบ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยยกกระชับให้ใบหน้ามีความเต่งตึง มีมิติมากขึ้น และช่วยปรับรูปหน้าให้มีความสมดุล
ฟิลเลอร์ร่องแก้มที่นิยมใช้จะมีเนื้อที่แน่น สามารถคงรูปได้ดี จึงนิยมใช้ฉีดตรงบริเวณผิวหนังใต้ชั้นกล้ามเนื้อ หรือฟิลเลอร์เนื้อนิ่มที่มีความกระจายตัวได้สูง จึงนิยมฉีดตรงชั้นผิวหนังตื้น ซึ่งยี่ห้อที่นิยมใช้มีดังนี้
- ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm เช่น Juvederm รุ่น Ultra Plus, Juvederm รุ่น Voluma, Juvederm รุ่น Volift, Juvederm รุ่น Volux โดยเฉลี่ยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 12 – 24 เดือน
- ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane เช่น Restylane รุ่น Volyme โดยเฉลี่ยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 18 เดือน
- ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero เช่น Belotero รุ่น Intense โดยเฉลี่ยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 18 เดือน
ฟิลเลอร์จมูก อยู่ได้นานกี่เดือน
ฟิลเลอร์จมูกเป็นการฉีดสารเติมเต็มตรงบริเวณจมูก ซึ่งช่วยปรับรูปทรงของจมูกโดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที นอกจากนี้ยังช่วยเสริมจมูกให้มีความโด่งขึ้นและเพิ่มความมั่นใจ
ฟิลเลอร์จมูกส่วนใหญ่นิยมฉีด Restylane รุ่น Perlane Lyft เนื่องจากฟิลเลอร์มีเนื้อที่แข็ง มีความคงตัวสูง สามารถคงรูปได้ดี ไม่อุ้มน้ำ และไม่ฟู ซึ่งผลลัพธ์จะอยู่ได้ถึง 1 ปี
ฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานกี่เดือน
ฟิลเลอร์ปากเป็นการฉีดสารเติมเต็มตรงบริเวณริมฝีปาก เหมาะกับบุคคลที่ต้องการปรับรูปทรงของริมฝีปาก เช่น ปากทรงกระจับ ปากทรงเกาหลี หรือปากทรงสายฝอ ช่วยแก้ไขปัญหาปากไม่ได้สัดส่วน ปากบาง ปากแห้ง ปากแตก และปากเป็นร่อง นอกจากนี้ยังช่วยยกมุมปากและเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มและเซ็กซี่
ฟิลเลอร์ปากที่นิยมใช้สำหรับการปรับรูปทรงริมฝีปากต้องมีความยืดหยุ่นสูงและคงตัวไม่เสีย ซึ่งยี่ห้อที่นิยมใช้มีดังนี้
- ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane เช่น Restylane รุ่น Kysse, Restylane รุ่น Vital Light, Restylane รุ่น Volyme, Restylane รุ่น Refyne โดยเฉลี่ยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 12 – 18 เดือน
- ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm เช่น Juvederm รุ่น Ultra Plus, Juvederm รุ่น Voluma, Juvederm รุ่น Volift, Juvederm รุ่น Volite โดยเฉลี่ยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 12 – 18 เดือน
- ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero เช่น Belotero รุ่น Soft, Belotero รุ่น Balance, Belotero รุ่น Intense โดยเฉลี่ยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 12 – 18 เดือน
ฟิลเลอร์คาง อยู่ได้นานกี่เดือน
ฟิลเลอร์คางเป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าตรงบริเวณคาง ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม และคางที่ไม่เข้ารูป นอกจากนี้ยังช่วยปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม เสริมคางให้ดูยาวขึ้น และทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น
ฟิลเลอร์คางส่วนใหญ่จะนิยมฉีด Restylane รุ่น Perlane Lyft เนื่องจากมีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถคงรูปได้ดี ซึ่งผลลัพธ์จะอยู่ได้ถึง 1 ปี กับ Juvederm รุ่น Voluma ซึ่งมีเนื้อที่แข็ง สามารถปั้นได้ง่าย มีความฟูปานกลาง และมีความยืดหยุ่น ซึ่งผลลัพธ์จะอยู่ได้ถึง 18 เดือน
ฟิลเลอร์มือ อยู่ได้นานกี่เดือน
ฟิลเลอร์มือเป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าตรงบริเวณหลังมือ ซึ่งฟิลเลอร์จะช่วยให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น ช่วยปรับสภาพผิวที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นให้มีความยืดหยุ่น เต่งตึงขึ้น และช่วยให้ผิวหนังมีความเรียบเนียน โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที
ฟิลเลอร์มือส่วนใหญ่จะนิยมฉีด Juvederm ที่เหมาะกับการฉีดบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้นและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งผลลัพธ์จะอยู่ได้ 8 เดือน – 1 ปี และ Restylane Vital Light ที่เหมาะกับการฉีดเพื่อเก็บรายละเอียด ซึ่งผลลัพธ์จะอยู่ได้ 6 เดือน – 1 ปี
ฟิลเลอร์ฉีดได้บ่อยแค่ไหน
อย่างที่ทราบกัน การฉีดฟิลเลอร์เป็นการฉีดเติมเต็มตรงบริเวณที่ต้องการแก้ไขหรือต้องการเติมเต็ม โดยความถี่ในการฉีดมักขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บริเวณที่ทำการฉีด ฟิลเลอร์ที่ฉีด ระยะเวลาของการสลายตัว และความพึงพอใจต่อผลลัพธ์ เป็นต้น ซึ่งปกติการฉีดฟิลเลอร์จะฉีดทุก 6 เดือน – 1 ปี ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์เพื่อความปลอดภัย และป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
