1.ร่องแก้มคืออะไร ?
ร่องแก้ม หรือรอยพับที่เกิดขึ้นตั้งแต่บริเวณช่วงปีกจมูกเป็นเส้นเฉียงยาวลงมาถึงมุมปากในแต่ละข้าง ซึ่งพบได้ทั้งในเพศหญิงและชาย ถ้าร่องลึกหรือเห็นเส้นชัดเจน จนเกินไปจะทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ร่องแก้มเป็นเส้นแบ่งระหว่างบริเวณแก้มกับริมฝีปากบน
# ร่องแก้มแบ่งออกเป็น 4 Grade ตามระดับความรุนแรง >
Grade 1-2 ; เป็นแค่ร่องที่เกิดจากไขมันบริเวณร่องแก้มหายไป
Grade 3-4 ; เป็นรอยพับที่นอกจากจะมีไขมันบริเวณนั้นหายไป ยังมีปัญหาอื่นๆเข้ามาเร่วมด้วย เช่น กระดูกขากรรไกรบนที่ทรุดตัวลง ความหย่อนคล้อยของใบหน้า เป็นต้น
2.ร่องแก้มเกิดจากสาเหตุอะไร ?
(2.1).กระดูกขากรรไกรบนทรุดตัว (Bone resorption) :
อายุที่มากขึ้นทำให้กระดูกขากรรไกรบนทรุดตัวลง บริเวณร่องแก้มไม่มีกระดูกคอยพยุงตัว สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้แก่
– ทำให้ร่องแก้มเกิดการม้วนพับ
– ใบหน้าส่วนบนทั้งหมดตกลง
– ปากบนจะเป็นลักษณะยาวขึ้น
– จมูกงุ้มลง ปีกจมูกกว้างขึ้น
สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ลงในชั้นกระดูกบริเวณฐานจมูก เพื่อการยกตัวขึ้นของผิวและทำให้ปีกจมูกแคบลงนิดหน่อย หลังจากนั้น ฉีดฟิลเลอร์เพื่อเก็บร่องแก้มทั้ง 2 ข้าง ให้ดูเติมอย่างเป็นธรรมชาติ
(2.2).กระดูกเบ้าตาทรุดตัว (Periorbital bone resorption ):
ในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป จะเกิดการทรุดตัวของกระดูกเบ้าตา เอ็นยึดหน้าก็จะมีการหย่อนลง จึงทำให้ไขมันและกล้ามเนื้อจากที่มีที่ยึดเกาะ ก็เปลี่ยนตำแหน่งไป ทำให้แก้มห้อยย้อย เนื้อแก้มด้านบนหย่อนลงมากองที่เหนือร่องแก้ม ทำให้ร่องแก้มดูลึก
สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม และฟิลเลอร์ใต้ตาร่วมด้วยโดยฉีดยกผิวในชั้นกระดูกเพื่อดึงโครงสร้างผิวโดยรวมทั้งหมดขึ้นไปด้านบน จะทำให้เนื้อแก้มเหนือร่องแก้มน้อยลง จากนั้นก็มาฉีดฟิลเลอร์บริเวณร่องแก้มจะดูเต็มอย่างเป็นธรรมชาติ หากฉีดแก้ไขแต่เพียงร่องแก้มอย่างเดียว จะทำให้ร่องแก้มแย่ลงกว่าเดิมได้ เนื้อจะยิ่งกองบริเวณเหนือร่องแก้มมากขึ้น ดูผิดธรรมชาติ
(2.3).ผิวแห้ง และ ชั้นผิวบางลง :
ลักษณะเป็นริ้วๆตื้นๆ ที่ร่องแก้ม สามารถใช้ฟิลเลอร์เติมความชุ่มชื้นลงในชั้นผิวหนังได้โดยตรง ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์โมเลกุลเล็กเพื่อให้เรียบเนียนไปกับผิวไม่เป็นก้อน
3.วิธีการฉีด ฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก และต้องใช้กี่ CC ?
หลังจากประเมินและวิเคราะห์สาเหตุของร่องแก้มจากนั้นก็แบ่ง Grade ของระดับความรุนแรงของร่องแก้ม เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นสาเหตุและเพื่อได้ผลลัพธ์ที่ออกมาธรรมชาติที่สุด
Grade 1-3 : ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 1-2 CC
ฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มเข้าไปที่ร่องแก้ม โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับลักษณะผิวของคนไข้ เพื่อความเรียบเนียน ดูธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน
Grade 4-5 :ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ 4 CC ขึ้น
ซึ่งเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ใบหน้าตกลง ดังนั้นนอกจากจะฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มเข้าไปตรงร่องแก้มแล้ว ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาร่วมด้วย โดยฉีดยกผิวในชั้นกระดูกเพื่อดึงโครงสร้างผิวโดยรวมทั้งหมดขึ้นไปด้านบน จะทำให้เนื้อแก้มเหนือร่องแก้มน้อยลง จากนั้นก็มาฉีดฟิลเลอร์บริเวณร่องแก้มจะดูเต็มอย่างเป็นธรรมชาติ หากฉีดแก้ไขแต่เพียงร่องแก้มอย่างเดียว จะทำให้ร่องแก้มแย่ลงกว่าเดิมได้ เนื้อจะยิ่งกองบริเวณเหนือร่องแก้มมากขึ้น ดูผิดธรรมชาติ
4.ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มบวมกี่วัน ?
จะมีอาการบวมเล็กน้อย ประมาณ 2-3 วันหลังการรักษา และจะค่อย ๆ ยุบหายไปเอง โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 อาทิตย์ถึงจะเข้าที่ ระหว่างเดียวกัน หมอไม่แนะนำให้รับประทานอาหารหมักดอง เพราะมีโซเดียมผสมอยู่เป็นจำนวนมาก หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องของอาการบวม หลังจากนั้นหมอจะนัดมาดูผลอีกครั้ง
5. ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มอันตรายมั้ย ?
การฉีดฟิลเลอร์จะอันตรายอย่างไรนั้นขึ้นอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้
(5.1). การใช้ฟิลเลอร์ปลอม :
หากใครได้ยินคำเคลมว่าฟิลเลอร์อยู่ได้นานเกิน 5 ปี หรือเป็นฟิลเลอร์กึ่งถาวร นั่นถือว่าเป็นฟิลเลอร์ปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว น้ำมันพาราฟิน หากฉีดเข้าไปแล้วจะเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะถ้าอยู่ใต้ผิวหนังเป็นระยะเวลานานจนเกินไป อาจจะมีการเคลื่อนตำแหน่งไปยังจุดอื่น ๆ บนใบหน้า หรือจับตัวเป็นก้อนบวม เกิดการอักเสบ อาจถึงอันตรายถึงชีวิตได้
(5.2). แพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ :
หากใครได้ยินคำเคลมว่าฟิลเลอร์อยู่ได้นานเกิน 5 ปี หรือเป็นฟิลเลอร์กึ่งถาวร นั่นถือว่าเป็นฟิลเลอร์ปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว น้ำมันพาราฟิน หากฉีดเข้าไปแล้วจะเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะถ้าอยู่ใต้ผิวหนังเป็นระยะเวลานานจนเกินไป อาจจะมีการเคลื่อนตำแหน่งไปยังจุดอื่น ๆ บนใบหน้า หรือจับตัวเป็นก้อนบวม เกิดการอักเสบ อาจถึงอันตรายถึงชีวิตได้
(5.3). ใช้ฟิลเลอร์ผิดประเภท :
ด้วยฟิลเลอร์ในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อ และหลายรุ่น จุดเด่นและคุณสมบัติที่ต่างกันออกไป จึงจำเป็นต้องเลือกเนื้อฟิลเลอร์ให้เหมาะกับผิวบริเวณที่ฉีด เพราะการใช้ฟิลเลอร์ที่มีความละเอียดของโมเลกุลใหญ่เกินไปฉีดในจุดที่ผิวบางหรืออ่อน เช่น บริเวณร่องแก้ม อาจจะส่งผลให้เกิดการหน่วงของผิวบริเวณที่ฉีด ทำให้ฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนที่ไปยังบริเวณอื่นบนใบหน้า หรือฟิลเลอร์เป็นก้อน
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้ออ่อน ทนต่อการขยับได้ดี เนื่องจากผิวชั้นบนบริเวณร่องแก้ม มีความแห้งและบางมาก การเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้ออ่อน จะทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวและเรียบเนียนไปกับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
(5.4). ผลข้างเคียงอื่น ๆ :
– เนื้อเยื่อได้รับความเสียหาย
– ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน
– ติดเชื้อ
– ตาบอด
6. การปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ?
ข้อปฏิบัติตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์และก่อนร้อยไหม (1 อาทิตย์ก่อนทำ ) =>
1. ควรงดยา แอสไพริน , NSAIDs เช่น Ibuprofen , Diclofenac , Ponstan เป็นเวลา 1 อาทิตย์ก่อนทำหัตถการ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะหยุดยานั้นๆ
2. ควรงดวิตามิน St.John Wort , Ginko biloba , Primrose oil , Garlic , Ginseng , and Vitamin E เป็นเวลา 1 อาทิตย์ก่อนทำหัตถการ
3. ควรงดยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิว เช่น Tretinoin (Retin-A) , Retinols , Retinoids , Glycolic Acid , หรือครีมในกลุ่ม “ Anti-Aging ” ทุกชนิด เป็นเวลา 3 วันก่อนทำ
4. ควรงดการแว็ก ผลักเซลล์ผิว การดึงขนหรือโกนขนบริเวณนั้นๆ เป็นเวลา 3 วันก่อนทำหัตถการ
5. หากมีคอร์สทำหน้านวดหน้าหรือเลเซอร์ต่างๆ ควรทำมาก่อนอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีดฟิลเลอร์หรือร้อยไหม เพราะหลังทำต้องเว้นไปอีก 2 อาทิตย์
6.หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่กินเป็นประจำอื่นๆ ควรเตรียมข้อมูลไว้เพื่อแจ้งกับแพทย์ก่อนที่จะทำหัตถการ
ข้อปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ =>
1. งดเลเซอร์ อบซาวหน้า นวดหน้าลงความร้อนบริเวณหน้าอย่างน้อย 1 เดือน
2. งดทานยาหรือวิตามินที่ทำให้เลือดออกมากขึ้น เช่น แอสไพริน , วิตามินอี , ใบแป๊ะก๊วย ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
3. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ บุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
4. หลีกเลี่ยงความร้อนต่างๆบริเวณใบหน้า เช่น การเป่าผม และ การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
5. ดื่มน้ำเยอะๆขั้นต่ำ 2-3 ลิตร ต่อวัน เนื่องจากฟิลเลอร์จะฟูขึ้น ทำให้อยู่ได้นาน
6. ไม่ควรกดนวดคลึงลูบคลำ หรือปั้นเอง บริเวณตำแหน่งที่มีการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดการเคลื่อนย้ายของตัวยาไปตำแหน่งที่ไม่ต้องการ
7. สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติในวันรุ่นขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์